แพทย์จะวัดความดันโลหิตโดยใช้เครื่องวัดความดัน ความดันโลหิตสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังต่อไปนี้
ความดันปกติ ระดับความดันที่ต่ำกว่า 120/80 มม. ถือว่าอยู่ในระดับปกติ
ความดันสูงเล็กน้อย ความดันโลหิตระหว่าง 120/80 - 129/80 มม.
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 หากความดันโลหิตอยู่ระหว่าง 130-139/80-89 มม. ปรอทถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2 หากความดันโลหิตมีค่าเกินกว่า 140/90 ขึ้นไปถือเป็นความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงและถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงระยะที่ 2
การวินิจฉัยสาเหตุโรคความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน
ทั้งตัวเลขบนและตัวเลขล่างในการอ่านค่าความดันโลหิตมีความสำคัญเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตามหลังจากอายุครบ 50 ปี การอ่านค่าซิสโตลิกระดับบนจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ภาวะที่เรียกว่าความดันโลหิตสูงแบบแยกตัวเกิดขึ้นเมื่อความดันไดแอสโตลิกเป็นปกติ (เมื่อน้อยกว่า 80 มม. ปรอท) แต่ความดันซิสโตลิกสูง (นี่คือเมื่อตัวเลขเท่ากับ 130 มม. ปรอทขึ้นไป) ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
ในระหว่างการนัดหมายแต่ละครั้ง แพทย์จะอ่านค่าความดันโลหิตสองถึงสามครั้งก่อนที่แพทย์จะเริ่มกระบวนการวินิจฉัย เนื่องจากความดันโลหิตโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตลอดทั้งวัน แพทย์อาจให้ผู้ป่วยบันทึกความดันโลหิตที่บ้านเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูง
หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์ของครอบครัวก่อนตรวจสอบผู้ป่วยโดยการตรวจร่างกาย แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยได้รับการทดสอบ ได้แก่ การตรวจปัสสาวะ การตรวจเลือด และการตรวจคอเลสเตอรอล บางครั้งแพทย์จะสั่งให้ทำ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อตรวจหาสัญญาณของโรคหัวใจ
วัดความดันโลหิตที่บ้าน
ผู้ป่วยควรติดตามระดับความดันโลหิตของตนเองที่บ้าน เนื่องจากจะช่วยตรวจสอบว่าการรักษาได้ผลหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบว่าอาการของความดันโลหิตสูงแย่ลงหรือไม่
หากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตรวมถึงการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกาย ไม่สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ แพทย์จะสั่งจ่ายยาเพื่อลดความดันโลหิตต่อไป ทั้งนี้เป้าหมายของการรักษามุ่งเน้นที่การรักษาระดับความดันโลหิตให้น้อยกว่า 130/80 มม. สำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่แข็งแรงและมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี แต่มีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 10 ที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดภายในสิบปี รวมถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
กลุ่มยาใช้สำหรับรักษาความดันโลหิตสูง
ยาขับปัสสาวะกลุ่มไธอะไซด์ไดยูเรติก
ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE inhibitors
ยากลุ่ม angiotensin-II receptor antagonists
ยาต้านแคลเซียม
ยาเพิ่มเติมที่แพทย์สามารถสั่งเพื่อรักษาความดันโลหิตสูง
กลุ่มยาต้านอัลฟา
กลุ่มยาต้านอัลฟ่าเบต้า
กลุ่มยาต้านเบต้า
แอลโดสเตอร์โรน
กลุ่มยาต้านเรนิน
ยาขยายหลอดเลือด
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
สภาวะที่ไม่สามารถควบคุมให้ระดับความดันโลหิตลงมาตํ่าได้
ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมให้ลดต่ำได้เกิดขึ้นเมื่อความดันโลหิตยังคงสูงมากแม้จะใช้ยา 3 ชนิดที่แตกต่างกันเพื่อรักษาความดันโลหิตสูง เช่น ยาขับปัสสาวะ
ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตสูงซึ่งต้องใช้ยา 4 ชนิดในการรักษาหมายความว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงที่ดื้อยา ดังนั้นแพทย์จะตรวจสอบอีกครั้งถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ที่ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงอื่นๆ ทั้งนี้ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ดื้อยาไม่ได้หมายความว่าจะมีภาวะความดันโลหิตสูงเสมอไป แพทย์จะตรวจหาสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง และหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง อ่านบบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/