แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1
ทำไมเด็กที่ยังฟันแท้ขึ้นไม่ครบ ต้องเข้ารับการจัดฟันเด็ก

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พอๆกับเรื่องของสุขภาพของเด็กเลยทีเดียว เพราะเด็กในวัยที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบ ถือว่าเป้นวัยแห่งการเรียนรู้และเป็นช่วงที่พัฒนาการของเด็กยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงรที่จะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุและทำให้เกิดการสูญเสียก่อนวัยอันควร  เพราะการที่ฟันของเด็กหลุดก่อนเวลาอันควรนั้น จะส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อาจจะส่งผลทำให้ฟันแท้ขึ้นมาผิดรูปหรือบางรายอาจจะเกิดภาวะฟันแท้หาย

ซึ่งก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรที่จะสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตและหมั่นสังเกตความผิดปกติของฟันของเด็กด้วย และถ้าหากพบความผิดปกติในเรื่องของสุขภาพฟัน หรือมีการขึ้นของฟันแท้ที่ผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบ เพราะการจัดฟันในปัจจุบันนี้ สามารถรักษาได้ตั้งแต่เด็กที่อายุ 4-15 ปี เพราะพฤติกรรมในวัยเด้กไม่ว่าจะเป็นการดูดนิ้ว ดูดขวดนม ถือว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาฟันได้ในอนาคต ซึ่งหากไม่รีบเข้ารับการรักษาหรือแก้ไข อาจจะส่งผลไปในระยะยาวได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้น อาจจะแก้ไขได้ยาก หรือมีปัญหาอื่นลุกลามมาในอนาคตได้ เพราะฉะนั้น รีบแก้ไขจะดีที่สุด

ซึ่งในการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังมีข้อสงสัยและคำถามในใจว่า ถ้าหากบุตรหลานของท่านยังมีฟันแท้ที่ยังขึ้นไม่ครบ สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ วันนี้ทางคลินิกของเรามีคำถามในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก สำหรับเด็กที่ยังมีฟันแท้ขึ้นไม่ครบ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีด้วยกันหลายรูปแบบ ซึ่งเด็กที่มีอายุ 4-7 ปี เหมาะสำหรับการจัดฟันในเด็กที่ใช้เครื่องมือ EF LINE เพราะการจัดฟันในเด็กแบบนี้ มีเครื่องมือการจัดฟันเป็นลักษณะเป็นชิ้นยางที่มีสีสันที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก ซึ่งง่ายต่อการรักษา เพราะการรักษาทางทันตกรรม เด็กในวัยนี้อาจะยังไม่มีความรู้ความเข้าใจและอาจจะไม่สามารถร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาได้ แต่การรักษาทางทันตกรรมด้วยใช้เครื่องมือ EF LINE ยังสามารถช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของเด็กได้ สามารถปรับตำแหน่งลิ้นได้ และยังแก้ไขความผิดปกติของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้

ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมต่างๆในวัยเด็ก เพราะฉะนั้น การจัดฟันในเด็กนั้น จึงไม่ต้องรอให้เด็กมีฟันแท้ขึ้นครบก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ เช่นเดียวกับเด็กที่มีอายุ 10-15 ปี ที่มีปัญหาฟันแล้วฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบ ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟันได้ แต่เด็กควรที่จะให้ความร่วมมือกับทันตแทพย์ในการรักษา เพื่อที่จะได้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สาเหตุที่เด็กในวัยนี้ สามารถสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่นเพราะเด็กในวัยนี้เริ่มจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้แล้ว ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงมีประโยชน์ต่อเด็กในระยะยาวได้ ช่วยป้องกันการขึ้นของฟันแท้ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาฟัน ก็ไม่ต้องรอให้เด็กมีฟันแท้ขึ้นครบ สามารถพาเด็กมาปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้ทันที เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทาด้านการทันตกรรมในเด็ก และยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอบากให้เด็กๆทุกคนมีฟันที่สวยงาม แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
ปัญหาที่พบหากหลังคาโรงงานไม่มีการติดฉนวนกันความร้อน

หลังคาโรงงาน โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนอย่างประเทศไทย เป็นส่วนที่รับความร้อนจากแสงแดดโดยตรงมากที่สุด การที่หลังคาโรงงานไม่มีการติดตั้งฉนวนกันความร้อน เปรียบเสมือนการเปิดช่องให้ความร้อนเข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างอิสระ ซึ่งนำมาซึ่งปัญหามากมาย ดังนี้ค่ะ


1. อุณหภูมิภายในโรงงานสูงเกินไป

นี่คือปัญหาหลักและเห็นได้ชัดเจนที่สุด เมื่อไม่มีฉนวนกันความร้อน หลังคาจะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์และแผ่รังสีความร้อนลงสู่ภายในอาคารอย่างต่อเนื่อง ทำให้:

อากาศร้อนอบอ้าว: อุณหภูมิภายในโรงงานจะสูงกว่าภายนอก หรือสูงกว่าปกติอย่างมาก สร้างบรรยากาศที่ไม่น่าทำงาน

ความร้อนสะสม: ความร้อนจะสะสมอยู่ใต้หลังคาและกระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้เกิดภาวะ "เรือนกระจก" ขนาดใหญ่


2. ส่งผลกระทบต่อพนักงาน
พนักงานคือหัวใจของโรงงาน การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ร้อนเกินไปส่งผลเสียหลายด้าน:

สุขภาพและความปลอดภัย: เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ, อ่อนเพลียจากความร้อน (Heat Exhaustion), ตะคริวจากความร้อน (Heat Cramps) และร้ายแรงที่สุดคือโรคลมแดด (Heatstroke) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ประสิทธิภาพการทำงานลดลง: ความร้อนทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาสมดุลอุณหภูมิ ส่งผลให้พนักงานเหนื่อยง่าย ขาดสมาธิ หงุดหงิด และมีแรงในการทำงานน้อยลง ทำให้ผลิตภาพและคุณภาพงานลดลง

ขวัญกำลังใจต่ำและอัตราการลาออกสูง: สภาพแวดล้อมที่ไม่น่าทำงานเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พนักงานไม่มีความสุขและอาจตัดสินใจลาออก


3. สิ้นเปลืองพลังงานและค่าใช้จ่ายสูง
แม้จะไม่มีระบบปรับอากาศในบางพื้นที่ การพยายามลดความร้อนก็จะใช้พลังงานมาก:

ระบบระบายอากาศทำงานหนัก: หากมีระบบพัดลมระบายอากาศ หรือลูกหมุนระบายอากาศ จะต้องทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อพยายามดึงอากาศร้อนที่แผ่ลงมาจากหลังคาออกไป ซึ่งสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าอย่างมาก

ค่าไฟฟ้าพุ่งสูง: หากมีการติดตั้งระบบปรับอากาศ (Air Conditioning) หรือพัดลมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ระบบเหล่านี้จะต้องทำงานหนักและใช้พลังงานมหาศาลเพื่อลดอุณหภูมิที่สูงเกินไป ซึ่งนำไปสู่ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง


4. เครื่องจักรและอุปกรณ์เสื่อมสภาพเร็ว
ความร้อนที่สะสมในโรงงานไม่ได้ส่งผลต่อคนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเครื่องจักรด้วย:

เครื่องจักรทำงานหนักเกินไป: อุณหภูมิสูงทำให้เครื่องจักรต้องทำงานในสภาวะที่หนักกว่าปกติ อาจเกิดการโอเวอร์ฮีท (Overheat) ได้ง่ายขึ้น

ลดอายุการใช้งาน: เมื่อเครื่องจักรทำงานภายใต้ความร้อนสูงเป็นเวลานาน จะเกิดการสึกหรอเร็วกว่ากำหนด ทำให้ต้องซ่อมบำรุงบ่อยขึ้น หรือเปลี่ยนอะไหล่ก่อนเวลาอันควร

การผลิตหยุดชะงัก: การที่เครื่องจักรเสียหายหรือขัดข้อง ทำให้กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก ส่งผลให้เสียเวลา เสียโอกาสในการผลิต และอาจส่งผลต่อการส่งมอบสินค้าล่าช้า


5. สินค้าและวัตถุดิบเสียหาย
สำหรับโรงงานที่เป็นคลังสินค้า หรือมีการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้า:

คุณภาพสินค้าลดลง: สินค้าบางประเภท เช่น อาหาร ยา เคมีภัณฑ์ หรือสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิ อาจได้รับความเสียหาย เสื่อมสภาพ หรือคุณภาพลดลงจากความร้อนสูง

วัตถุดิบเสียหาย: วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาจเสื่อมสภาพ ทำให้กระบวนการผลิตมีปัญหา หรือได้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน


6. ปัญหาการควบแน่น (Condensation)
โดยเฉพาะในโรงงานที่มีระบบปรับอากาศ หรือมีการใช้เครื่องจักรที่สร้างความเย็น:

เมื่ออากาศร้อนจากภายนอกที่แผ่เข้ามาจากหลังคามาปะทะกับอากาศเย็นภายใน หรือพื้นผิวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า (เช่น ท่อลมเย็น, โครงสร้างอาคารที่เย็นจัด) อาจทำให้เกิด หยดน้ำเกาะ (Condensation) ที่โครงสร้างหลังคาหรืออุปกรณ์

หยดน้ำเหล่านี้อาจหยดลงมาสร้างความเสียหายให้กับเครื่องจักร สินค้า หรือทำให้พื้นลื่น

การควบแน่นยังนำไปสู่การเกิด สนิมและการกัดกร่อน บนโครงสร้างเหล็กของหลังคา ทำให้โครงสร้างเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจเกิด เชื้อรา ได้อีกด้วย

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาโรงงานจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนสำหรับทั้งโรงงานและบุคลากรค่ะ

5
อาหารสายยาง อย่างไรที่เหมาะสมกับการให้ทางสายให้อาหาร

อาหารทางสายยาง กับสารอาหารถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งคนเราจะต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพราะอาหารหลัก 5หมู่ ที่เรารับประทานเข้าไปนั้น แต่ละอย่างมีความแตกต่างกันและให้พลังงานมากน้อยแตกต่างกัน โดยอาหารหลัก5 หมู่ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายก็จะดูดซึมสารอาหาร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ในระบบต่างๆของร่างกาย ทำให้เรามีพลังงานมีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัย ไข้เจ็บ อาหารเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นของผู้ป่วยเช่นเดียวกัน และอาหารของผู้ป่วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพอสมควร จะต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ ต้องมีการควบคุมการผลิตโดยนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของอาหารเพื่อผู้ป่วย

รวมไปถึงจะต้องนำสารอาหารไปให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้โดยใช้ต้องใช้อาหารปั่นผสม เพื่อนำไปให้ผู้ป่วยทางสายยางให้อาหาร ซึ่งอาหารปั่นผสมนั้นคืออาหารที่ประกอบด้วยอาหารหลายชนิดจากอาหารหลัก 5 หมู่ โดยนำวัตถุดิบต่างๆปั่นเข้าด้วยกันจนมีลักษณะเป็นของเหลว สามารถเคลื่อนผ่านสายยางให้อาหารเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยได้โดยไม่ติดขัดและมีประสิทธิภาพ โดยอาหารจะต้องคงคุณค่าทางสารอาหารอย่างครบถ้วน มีความสะอาด ถูกสุขลักษณะ และถูกต้องตามสูตรที่นักโภชนาการได้กำหนดไว้ซึ่งจะมีคุณค่าทางด้านโภชนาการเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายผู้ป่วย ซึ่งอาหารทางสายยางหรืออาหารปั่นผสมนั้น จะมีสารอาหารหลักๆคือโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ถือเป็นสารอาหารหลักที่จะช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็วและยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายให้กลับมามีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงอีกครั้ง

หลายคนเกิดความสงสัยว่า อาหารที่เหมาะสมกับการให้อาหารทางสายยางนั้น มีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะมีบางกรณีที่ผู้ป่วยจะต้องทำกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ซึ่งจะต้องมีผู้ดูแลหรือญาติที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีพื้นฐานเกี่ยวกับการให้อาหารทางสายยาง และบางครั้งอาจจะมีการทำอาหารปั่นผสมเองด้วย แต่สูตรอาหารปั่นผสมที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการจะต้องออกแบบโดยนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้มีปริมาณและสารอาหารที่ถูกต้องและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายผู้ป่วย ซึ่งอาหารที่เหมาะสม ที่จะให้อาหารทางสายยางควรเป็นอาหารปั่น หรือเรียกว่าอาหารปั่นผสมที่มีลักษณะเป็นของเหลว สามารถไหลผ่านสายอย่างให้อาหารหรือท่อให้อาหารที่มีขนาดเล็กได้สะดวกโดยไม่มีอาการติดขัดและไม่มีอาหารติดค้างตามสายยาง

สำหรับอาหารที่ให้ทางสายยางควรเป็นอาหารที่มีความสะอาด มีประโยชน์ต่อร่างกายและมีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ และอาหารสำหรับให้ผู้ป่วยทางสายยางก็ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ อาหารเหลวที่ทำมาจากน้ำนม เป็นส่วนผสม ก็สามารถให้ผู้ป่วยทางสายยางได้เช่นเดียวกัน แต่ที่นิยมและให้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนมากที่สุด ก็คืออาหารปั่นผสม เพราะมีความเหมาะสมสำหรับการให้อาหารทางสายยางมากที่สุดและควรเป็นอาหารที่ให้พลังงาน 1 กิโลแคลอรีต่อปริมาณอาหาร 1 มิลลิลิตร โดยมีสัดส่วนและปริมษณตามที่กำหนด คือ อาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ 15- 20% ไขมันที่เป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด 30- 45% คาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว น้ำตาล ตามที่นักโภชนาการกำหนด

รวมไปถึงผักผลไม้ต่างๆ แต่ควรเป็นผลไม้สุก เช่น มะละกอสุก กล้วยน้ำว้าสุก 50 – 60% ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาหารปั่นผสมมักจะเป็นอาหารที่ทำให้สุก โดยผ่านกระบวนการต้ม ตุ๋น แล้วนำวัตถุดิบทั้งหมดมาปั่นรวมกันให้ละเอียดจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว โดยอาจจะใส่ขวดหรือถึงบรรจุอาหาร แบ่งไว้เป็นมื้อมื้อมื้อละ 200 – 250 มิลลิลิตร โดยใน 1 วันอาจจะให้ 3-4 ครั้งต่อมื้อ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้ป่วย หรือตามความต้องการของผู้ป่วยในแต่ละราย โดยจะมีนักโภชนาการให้คำแนะนำในเรื่องของปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยควรจะได้รับและที่สำคัญเพื่อเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการให้อาหารทางสายยางด้วย เพราะฉะนั้นอาหารที่เหมาะสมที่จะให้ผู้ป่วยทางสายยางให้อาหารนั้น จะต้องเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน มีปริมาณที่เหมาะสม มีความสะอาด ปลอดภัย เมื่อผู้ป่วยได้รับเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงและฟื้นฟูจากการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว

6
หมอออนไลน์: แผลเพ็ปติก (Peptic ulcer)

แผลเพ็ปติก* หมายถึง แผลที่เกิดบนเยื่อบุกระเพาะอาหาร (stomach) ซึ่งเรียกว่า โรคแผลกระเพาะอาหาร หรือแผลจียู (gastric ulcer/GU) หรือแผลที่เยื่อบุลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ซึ่งเรียกว่า โรคแผลลำไส้เล็กส่วนต้น หรือแผลดียู (duodenal ulcer/DU)

แผลเพ็ปติกเป็นโรคที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ10-20 ของคนทั่วไปจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต

แผลลำไส้เล็กส่วนต้น (ดียู) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-4 เท่า และพบมากในช่วงอายุประมาณ 30-55 ปี ขณะที่แผลกระเพาะอาหารพบในผู้ชายพอ ๆ กับผู้หญิง และพบในช่วงอายุประมาณ 55-70 ปี แต่ทั้ง 2 โรคนี้ก็สามารถพบได้ในคนทุกวัย

*เดิมนิยมเรียกว่า โรคกระเพาะ โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง คือ ปวดท้องตรงยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ที่เกิดก่อนหรือหลังอาหาร (หิวแสบ-อิ่มจุก) เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันพบว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่จำเพาะว่าเกิดจากแผลเพ็ปติกเสมอไป ต้องอาศัยการตรวจโดยการใช้กล้องส่อง หรือเอกซเรย์โดยการกลืนแป้งแบเรียม จึงจะแยกสาเหตุได้ชัดเจน ดังนั้น คำว่า "โรคกระเพาะ" จึงมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า "อาหารไม่ย่อย" ในที่นี้จึงขอใช้คำว่า "แผลเพ็ปติก" ในการเรียกชื่อโรคแผลกระเพาะอาหาร และแผลลำไส้เล็กส่วนต้น

สาเหตุ

แผลเพ็ปติก เกิดจากความเสียสมดุลระหว่างปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้  ถ้าหากมีการหลั่งกรดมากเกิน หรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็ทำให้เกิดแผลเพ็ปติกขึ้นได้ ในปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลเพ็ปติกได้แก่

1. การติดเชื้อเอชไพโลโร (H.pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบ เชื้อนี้สามารถติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ในระยะแรกอาจทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งจะเป็นเรื้อรังนานเป็นแรมปีหรือนับเป็นสิบ ๆ ปี ต่อมาทำให้กลายเป็นแผลลำไส้เล็กส่วนต้น (พบเชื้อนี้ในผู้ที่เป็นแผลชนิดนี้ถึงร้อยละ 95-100) หรือแผลกระเพาะอาหาร (พบเชื้อนี้ในผู้ที่เป็นแผลชนิดนี้ถึงร้อยละ 75-85)

ในการติดตามผลการรักษาผู้ป่วยแผลเพ็ปติกด้วยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ พบว่า การรักษาโรคแผลเพ็ปติกโดยวิธีดั้งเดิม (ให้ยาลดกรดและยาลดการสร้างกรด) นั้น ผู้ป่วยจะมีแผลกำเริบถึงร้อยละ 70-85 ใน 1 ปี แต่ในกลุ่มที่ได้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อเอชไพโลไรตามวิธีการรักษาแนวใหม่จะมีแผลกำเริบน้อยกว่าร้อยละ 5 ใน 1 ปี ดังนั้น ในวงการแพทย์ปัจจุบันจึงยอมรับว่า เชื้อนี้เป็นตัวการสำคัญของโรคแผลเพ็ปติกถึงแม้จะยังไม่มีความชัดเจนในกลไกของการทำให้เกิดแผลเพ็ปติกจากเชื้อนี้ก็ตาม บ้างสันนิษฐานว่าเชื้อชนิดนี้ทำให้กลไกในการต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารลดลง

2. การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ได้แก่ แอสไพริน และกลุ่มยาแก้ปวดข้อ (เช่น อินโดเมทาซิน ไอบูโพรเฟน นาโพรเซน เป็นต้น) พบว่าผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำจะมีโอกาสเป็นแผลกระเพาะอาหารร้อยละ 10-30 และแผลลำไส้เล็กส่วนต้นร้อยละ 2-20 และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน (เช่น เลือดออก แผลทะลุ) มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มนี้ถึง 3 เท่า ประมาณร้อยละ 1-2 ของผู้ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำจะเกิดภาวะแทรกซ้อนภายใน 1 ปี ทั้งนี้เพราะยากลุ่มนี้ทำลายกลไกในการต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ (โดยการยับยั้งไม่ให้กระเพาะหลั่งเมือกออกมาปกคลุมเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้) นอกจากนี้ ยากลุ่มนี้บางตัวยังมีฤทธิ์เป็นกรดซึ่งระคายต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้โดยตรง

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติกจากยากลุ่มนี้ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ในขนาดสูง ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้นาน ๆ ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับสเตียรอยด์ ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเพ็ปติกมาก่อน ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วยรุนแรง

3. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ บางอย่างอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ แต่บางอย่างอาจไม่มีความสัมพันธ์โดยตรง เช่น

    ประวัติการมีญาติพี่น้องเป็นแผลเพ็ปติก (อาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์) ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้นเป็น 3 เท่า
    การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสของการเป็นแผลลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้การรักษาได้ผลช้า และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
    ผู้ที่มีเลือดกลุ่มโออาจเสี่ยงต่อการเป็นแผลลำไส้เล็กส่วนต้นมากกว่าปกติ
    ความเครียดทางอารมณ์ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าเป็นสาเหตุของการเกิดแผลเพ็ปติกโดยตรงแต่พบว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เป็นแผลกำเริบได้
    แผลลำไส้เล็กส่วนต้น ยังอาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperparathyroidism ซึ่งจะมีภาวะแคลเซียมสูง และแคลเซียมกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมาก) กลุ่มอาการซอลลิงเกอร์-เอลลิสัน (Zollinger-Ellison syndrome ซึ่งเป็นเนื้องอกในตับอ่อนและลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้มีการหลั่งกรดและน้ำย่อยมากเกิน) ภาวะไตวายเรื้อรัง ตับแข็งจากพิษแอลกอฮอล์ ถุงลมปอดโป่งพอง เป็นต้น
    แอลกอฮอล์ (ซึ่งเป็นสาเหตุของกระเพาะอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน ทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร) สเตียรอยด์ และกาเฟอีน ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นสาเหตุของแผลเพ็ปติกโดยตรง แต่ก็อาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เป็นแผลกำเริบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเหล่านี้ในผู้ป่วยแผลเพ็ปติก
    อาหารทุกชนิดไม่เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดแผลเพ็ปติก แต่ถ้ากินแล้วทำให้มีอาการกำเริบ (เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด น้ำส้ม น้ำผลไม้) ก็ควรจะหลีกเลี่ยง

อาการ

มักมีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังตรงบริเวณกลางยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ บางรายอาจค่อนมาทางขวาหรือซ้ายก็ได้ เวลาที่ปวดมักสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น ก่อนหรือหลังอาหาร ลักษณะการปวดอาจปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียด หรือมีความรู้สึกหิวข้าวก่อนเวลาอาหาร บางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วย

ในผู้ป่วยที่มีแผลลำไส้เล็กส่วนต้น มักมีอาการปวดท้องหลังกินอาหารแล้วประมาณ 1-3 ชั่วโมง หรือขณะท้องว่าง โดยมากจะเริ่มปวดตอนสาย ๆ ในช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ จะปวดมากขึ้น และอาจปวดมากตอนดึก ๆ จนต้องตื่นนอนหรือนอนไม่หลับ

อาการปวดมักดีขึ้นทันทีหลังกินอาหาร ดื่มนม หรือกินยาต้านกรด หรือหลังอาเจียน ถ้าแผลลุกลามไปที่ตับอ่อนอาจทำให้มีอาการปวดหลังร่วมด้วย และไม่หายปวดท้องหลังกินอาหาร

ในผู้ป่วยที่มีแผลกระเพาะอาหาร มักมีอาการปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1/2-1 ชั่วโมง บางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร (ไม่อยากกิน เพราะกลัวปวดท้อง) และน้ำหนักลด

อาการปวดท้องมักเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ แล้วอาจหายไปได้เอง แต่ก็มักมีอาการกำเริบภายใน 1-2 ปีเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการของผู้ป่วยแผลลำไส้เล็กส่วนต้นกับแผลกระเพาะอาหาร  บางครั้งก็อาจแยกจากกันได้ไม่ชัดเจน เช่น อาการปวดท้องตอนดึกก็อาจเกิดในผู้ป่วยแผลกระเพาะอาหารได้เช่นกัน

ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นแผลเพ็ปติกโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้ เช่น พบว่ากลุ่มที่เป็นแผลจากยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มีประมาณร้อยละ 50 ที่ไม่ปรากฏอาการหรือผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน (เช่น ถ่ายดำ) ก็อาจไม่มีอาการปวดท้องมาก่อนก็ได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ ที่พบบ่อยคือ ภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระดำ ส่วนมากเลือดจะออกไม่มากและหยุดได้เอง ส่วนน้อยอาจมีเลือดออกมากจนบางครั้งเกิดภาวะช็อก ถ้าเลือดออกเรื้อรังก็อาจเกิดภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กได้

บางรายแผลอาจกินลึกจนเป็นรูทะลุ เรียกว่า แผลเพ็ปติกทะลุ ซึ่งอาจทำให้มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบร่วมด้วยได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง และหน้าท้องแข็ง ควรได้รับการผ่าตัดแก้ไขโดยด่วน

บางรายอาจมีภาวะกระเพาะหรือลำไส้อุดกั้น มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง และท้องผูก

ในรายที่แผลกินลึกไปถึงตับอ่อนอาจทำให้มีอาการปวดหลัง หรือมีอาการของตับอ่อนอักเสบร่วมด้วย

ผู้ที่เป็นแผลกระเพาะอาหารเรื้อรังจากเชื้อเอชไพโลไรก็อาจมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ ส่วนการตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ บางรายอาจรู้สึกกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณลิ้นปี่

ในรายที่มีเลือดออก (เช่น ถ่ายดำ) อาจตรวจพบอาการซีด

เนื่องจากไม่สามารถวินิจฉัยจากอาการแสดง แพทย์จำเป็นต้องวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ หรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม บางรายแพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม (เช่น การตรวจชิ้นเนื้อ การตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร เป็นต้น)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้ามีอาการปวดกระเพาะครั้งแรกในคนอายุต่ำกว่า 40 ปี และสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าเป็นโรคแผลเพ็ปติกหรือไม่ แพทย์จะให้การรักษาเบื้องต้นแบบโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย โดยแนะนำการปฏิบัติตัว และให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล, แพนโทพราโซล, แลนโซพราโซล, ราบีพราโซล เป็นต้น)

ถ้ารู้สึกทุเลาหลังกินยาได้ 2-3 ครั้ง ควรกินต่อจนครบ 2 สัปดาห์ ถ้ารู้สึกหายดีควรกินยานานประมาณ 8 สัปดาห์

ถ้ากินยา 2-3 ครั้งแล้วยังไม่รู้สึกทุเลาแม้แต่น้อย หรือทุเลาแล้วแต่กินจนครบ 2 สัปดาห์แล้วรู้สึกไม่หายดี หรือกำเริบซ้ำหลังจากหยุดกินยาจนครบ 8 สัปดาห์แล้ว หรือ มีอาการเบื่ออาหาร กลืนลำบาก น้ำหนักลด ซีด ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต คลำได้ก้อนในท้อง อาเจียนรุนแรง หรือสงสัยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือนิ่วน้ำดี หรือพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและความรุนแรงของโรคแผลเพ็ปติก และโรคอื่นๆที่อาจมีอาการคล้ายแผลเพ็ปติก นอกจากการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้แล้ว อาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ ตามโรคที่สงสัย(เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ คลื่นหัวใจ เป็นต้น)

2. เมื่อตรวจพิเศษแล้วพบว่าเป็นแผลเพ็ปติก แพทย์มีแนวทางการรักษา ดังนี้

2.1 แผลเพ็ปติกที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร (จำเป็นต้องอาศัยการใช้กล้องส่อง และตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง รักษาแผลให้หายและกำจัดเชื้อเอชไพโลไรโดยให้ยาดังนี้

    ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ นาน 6-8 สัปดาห์ ร่วมกับ
    ยาปฏิชีวนะ 2-4 ชนิดร่วมกัน นาน 10-14 วัน เช่น เมโทรไนดาโซล คลาริโทรไมซิน (clarithromycin) อะม็อกซีซิลลิน เตตราไซคลีน บิสมัทซับซาลิไซเลต (bismuth subsalicylate)

2.2 แผลเพ็ปติกที่ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร เป็นแผลเพ็ปติกที่ตรวจไม่พบการอักเสบจากเชื้อเอชไพโลไร อาจมีสาเหตุจากการใช้ยาแอสไพริน หรือกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ให้การรักษาด้วยยาลดการสร้างกรดกลุ่มโปรตอนปั๊มป์ นาน 4 สัปดาห์ (สำหรับแผลลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน) หรือนาน 6-8 สัปดาห์ (สำหรับแผลกระเพาะอาหาร หรือแผลเพ็ปติกที่มีภาวะแทรกซ้อน)

2.3 ในรายที่เป็นแผลเพ็ปติกเรื้อรังหรือเคยมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น หรือผู้สูงอายุ หรือในรายที่ยังสูบบุหรี่ อาจจำเป็นต้องกินยาลดการสร้างกรดนาน 3-6 เดือนหรือเป็นปี และอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจและตรวจชิ้นเนื้อซ้ำจนกว่าแผลจะหายดี

ถ้าแผลเรื้อรังไม่ยอมหาย  อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

3. ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ หน้ามืด เป็นลม ช็อก หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง อาเจียนรุนแรง หรือมีอาการท้องเกร็งแข็ง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาตามภาวะที่พบ เช่น

ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด แล้วทำการตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าตรวจพบว่ามีภาวะแผลเพ็ปติกทะลุ หรือกระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดแสบหรือจุกแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ ก่อนหรือหลังอาหารนานเกิน 1 สัปดาห์  มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีประวัติเคยตรวจพบว่าเป็นโรคแผลเพ็ปติกมาก่อน หรือกินแอสไพริน หรือยาแก้ปวดข้อเป็นประจำ หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลเพ็ปติก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    กินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ อย่าปล่อยให้หิว
    งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน น้ำอัดลม
    หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาสเตียรอยด์
    อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ถ้ากินแล้วมีอาการปวดท้องกำเริบ ควรงดจนกว่าจะหายดี
    ออกกำลังกายเป็นประจำ และหาวิธีผ่อนคลายความเครียด (ถ้าเครียด)

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดท้องมาก อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ซีด ตาเหลือง คลำได้ก้อนในท้อง กินยารักษา 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดสังเกตที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินหรือท้องผูก เป็นต้น)

การป้องกัน

ผู้ป่วยที่กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติก (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ต้องใช้ยานี้ในขนาดสูงหรือนาน ๆ หรือใช้ร่วมกับยาสเตียรอยด์ ผู้ที่เคยเป็นแผลเพ็ปติกมาก่อน เป็นต้น) แพทย์จะให้กินยาลดการสร้างกรดป้องกันควบคู่ด้วย

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรกินยาอย่างต่อเนื่องและพบแพทย์ตามนัด การกินยาไม่ต่อเนื่องอาจทำให้กลายเป็นแผลเรื้อรังและรักษายากหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้

2. เนื่องจากโรคแผลเพ็ปติกอาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) ซึ่งมีสาเหตุได้หลากหลาย การวินิจฉัยโรคนี้ที่แน่ชัดจำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้)

3. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีมากกว่าวัยที่ต่ำกว่า 40 ปี) อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia หรือ "โรคกระเพาะ") หรือแผลเพ็ปติก และอาการสามารถทุเลาด้วยยาต้านกรดและยาลดการสร้างกรด แต่ต่อมาเมื่อแผลมะเร็งลุกลามมากขึ้น การใช้ยาจะไม่ได้ผล และจะมีอาการน้ำหนักลด อาเจียน หรือถ่ายดำตามมาได้ ดังนั้น หากรักษา "โรคกระเพาะ" โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น มีอาการกำเริบบ่อย หรือพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติเคยรักษาโรคแผลเพ็ปติกมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ให้ทำการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้) เพื่อแยกแยะสาเหตุให้แน่ชัด หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าพบในระยะลุกลามแล้ว

7
เคล็ดลับการเริ่มต้นธุรกิจอาหารช่องทางออนไลน์ เป็นอาชีพเสริม

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารออนไลน์เป็นอาชีพเสริมนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตและยั่งยืน ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาหารออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. กำหนดประเภทอาหารและเมนู:

เลือกประเภทอาหารที่ถนัด:
เลือกประเภทอาหารที่คุณมีความรู้และทักษะในการทำ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและรสชาติของอาหาร
ศึกษาตลาดและความต้องการ:
สำรวจความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ เพื่อเลือกเมนูที่ได้รับความนิยมและมีโอกาสในการขายสูง
สร้างเมนูที่หลากหลาย:
นำเสนอเมนูที่หลากหลายและน่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน

2. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

สูตรลับและเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
วัตถุดิบคุณภาพ:
เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีและสดใหม่ เพื่อให้ได้รสชาติอาหารที่ดีที่สุด
บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

3. ใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์:

แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่:
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ที่ได้รับความนิยม เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
โซเชียลมีเดีย:
สร้างเพจหรือบัญชีบนโซเชียลมีเดีย เพื่อโปรโมทร้านค้าและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เว็บไซต์ (ถ้ามี):
สร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อ

4. การตลาดออนไลน์:

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงามน่ารับประทาน และทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร
โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ และมอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
รีวิวและคะแนน:
ให้ความสำคัญกับรีวิวและคะแนนจากลูกค้า และตอบคำถามหรือแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็ว

5. การจัดการและบริการ:

การจัดการออเดอร์:
ตรวจสอบออเดอร์อย่างละเอียดและแม่นยำ และเตรียมอาหารให้รวดเร็วและตรงเวลา
การจัดส่ง:
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ และแจ้งสถานะการจัดส่งให้ลูกค้าทราบ
บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

6. เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า:
สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์:
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ:
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ตัวอย่างเมนูอาหารออนไลน์ที่น่าสนใจ:

อาหารคลีน/อาหารเพื่อสุขภาพ
ขนมโฮมเมด
อาหารตามสั่ง
อาหารแปรรูป
อาหารว่าง/ของทานเล่น

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

8
อาการของโรค: ไข้ฉี่หนู/เล็ปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)

เล็ปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้เป็นครั้งคราวในแทบทุกจังหวัด พบมากในคนที่มีอาชีพที่ต้องย่ำน้ำหรือแช่น้ำ เช่น ทำนา ทำสวน จับปลา เก็บขยะ ขุดท่อ เลี้ยงสัตว์ ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ทำเหมืองแร่ แม่บ้านที่เตรียมอาหารจากเนื้อสัตว์ นักท่องเที่ยวที่นิยมเที่ยวป่า น้ำตก ทะเลสาบ ว่ายน้ำในแหล่งน้ำจืด เป็นต้น

พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2.5 เท่า ส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 15-54 ปี

โรคนี้พบได้ประปรายตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้ำขัง หรือเกิดภาวะน้ำท่วม มีเชื้อโรคขังอยู่ในน้ำ เมื่อคนเดินลุยน้ำหรือลงแช่น้ำก็มีโอกาสได้รับเชื้อนี้ บางครั้งอาจพบมีการระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะน้ำท่วม

ในระยะหลังๆ นี้ พบผู้ป่วยเป็นโรคนี้กันมากทางภาคอีสาน เนื่องจากมีหนูชุกชุมตามท้องนา และมักจะเป็นชนิดรุนแรง ชาวบ้านเรียกว่า ไข้ฉี่หนู

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเชื้อ เล็ปโตสไปร่า (leptospira) มีอยู่หลายพันธุ์ย่อย ซึ่งก่อให้เกิดอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป ขึ้นกับชนิดและปริมาณของเชื้อ

เชื้อนี้จะมีอยู่ในไตของสัตว์ ที่พบบ่อย คือ หนูท่อ หนูนา หนูพุก นอกจากนี้ยังพบในสุนัข สุกร แมว โค กระบือ แพะ แกะ

เชื้อที่ก่อโรครุนแรงมีชื่อว่า Leptospira icterohaemorrhagiae อาศัยอยู่ในหนูและสุนัข Leptospira bataviae อาศัยอยู่ในหนู สุนัข โค กระบือ

สัตว์เหล่านี้จะปล่อยเชื้อออกมากับปัสสาวะ เชื้อจะสามารถมีชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะได้นานหลายเดือน

คนเราจะรับเชื้อเข้าร่างกาย โดยผ่านเข้าทางบาดแผลถลอกหรือขีดข่วนตามผิวหนัง หรือเข้าทางเยื่อบุตา จมูกหรือช่องปากที่ปกติ วิธีติดเชื้อที่สำคัญ ได้แก่ การย่ำน้ำที่ท่วมขัง (เช่น ตามซอกซอยในเมือง) หรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (เช่น ตามท้องนา) และการแช่อยู่ในน้ำตามห้วยหนองคลองบึง เป็นเวลาเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป (เช่น จับปลา เก็บผัก เล่นน้ำ แข่งกีฬาทางน้ำ) นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อโดยการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากปัสสาวะหนู หรือสัมผัสถูกเลือด ปัสสาวะ หรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดเชื้อโดยตรง

ระยะฟักตัว 2-26 วัน (ที่พบบ่อย คือ 7-14 วัน)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่แตกต่างตรงที่จะรู้สึกปวดมากตรงบริเวณน่อง หลัง และหน้าท้อง

บางรายอาจมีไข้ติดต่อกันหลายวันสลับกับระยะไข้ลด

บางรายอาจมีอาการตาแดง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เจ็บคอ ไอ เจ็บหน้าอก บางรายอาจมีอาการปวดตรงชายโครงขวา (ซึ่งอาจปวดรุนแรง จนแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นภาวะปวดท้องเฉียบพลัน และผ่าตัดช่องท้องดู)

อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อย หลังมีไข้ 4-7 วัน

ในรายที่เป็นรุนแรง (พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วย) หลังมีไข้ 4-9 วัน จะมีอาการตาเหลืองจัด ปัสสาวะเหลืองเข้ม ปัสสาวะออกน้อย บางรายอาจมีอาการเลือดกำเดาไหล มีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว หรืออาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายเป็นเลือด บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจหอบ หรือไอเป็นเลือด

ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ได้แก่ ไตวาย ภาวะเลือดออก (ซึ่งเกิดจากการอักเสบของผนังหลอดเลือด) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือดออกในทางเดินอาหารและในปอด ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่านร่วมด้วย

นอกจากนี้อาจพบภาวะตับวาย ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว หัวใจวาย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

บางรายหลังจากอาการทั่วไปหายดีแล้ว อาจมีอาการผิดปกติทางจิต เช่น โรคจิต (psychosis) กระสับกระส่าย พฤติกรรมผิดปกติเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส

เยื่อตาขาวมีลักษณะบวมแดง (conjunctival suffusion) ที่ตา 2 ข้าง ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดที่เยื่อบุตาขยายตัว มักเกิดขึ้นภายใน 3 วันแรกของโรค และเป็นอยู่นาน 1-7 วัน อาจพบร่วมกับภาวะเลือดออกใต้ตาขาว

เมื่อใช้มือบีบบริเวณกล้ามเนื้อน่อง จะมีอาการเจ็บปวดมาก

บางรายอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโต ตับโต ม้ามโต ตาเหลืองเล็กน้อย หรือพบผื่นแดง ลมพิษตามผิวหนัง

บางรายอาจพบอาการคอแข็ง (หลังเป็นไข้ประมาณ 1 สัปดาห์)

การทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก

ในรายที่เป็นรุนแรง มักตรวจพบอาการตาเหลือง ตัวเหลืองจัด ตับโตและเจ็บ มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือรอยห้อเลือดตามผิวหนัง อาการไตวายเฉียบพลัน

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบภาวะซีด หายใจหอบเร็ว ภาวะหัวใจวาย ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ความดันต่ำ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ บางรายอาจสูงถึง 50,000 ตัว/ลบ.มม. เกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังพบระดับของบียูเอ็น (BUN) ครีอะตินีน (creatinine) เอเอสที (AST) และเอแอลที (ALT) สูงกว่าปกติ

การตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว

ในรายที่ปวดศีรษะรุนแรง หรือสงสัยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบแทรกซ้อน อาจต้องเจาะหลัง

อาจต้องทำการเพาะเชื้อจากเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำไขสันหลัง

การทดสอบทางน้ำเหลือง ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น IgM-ELISA, microscopic agglutination test (MAT), macroscopic slide agglutination test (MSAT), latex agglutination test, lepto-dipstick test เป็นต้น มักพบสารภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้ขึ้นสูง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นไม่รุนแรง ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน หรือดอกซีไซคลีน

2.  ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด เช่น เพนิซิลลินจี ดอกซีไซคลีน หรือเซฟทริอะโซน (ceftriaxone) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

นอกจากนี้จะให้การรักษาตามอาการที่พบ เช่น ให้ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือถ้ามีภาวะขาดน้ำ ให้เลือดถ้ามีเลือดออก

ถ้ามีภาวะไตวาย อาจต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงโรคและสภาพของผู้ป่วย ถ้าไม่มีอาการดีซ่าน อาการมักจะไม่รุนแรง แต่ถ้ามีดีซ่านร่วมด้วย มักจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และมีอัตราตายถึงร้อยละ 15-20 ซึ่งมักเกิดจากภาวะไตวาย หรือช็อกจากการเสียเลือด ภาวะรุนแรงมักเกิดในผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีไข้ร่วมกับตาแดง ตาเหลือง ปวดศีรษะรุนแรง ปวดท้องมาก หรือปวดน่องมาก หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้ฉี่หนู ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้ฉี่หนู (เล็ปโตสไปโรซิส) ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ เจ็บหน้าอกมาก หรือชีพจรเต้นผิดปกติ
    ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย
    มีเลือดออก เช่น ถ่ายเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ
    ตาเหลืองตัวเหลือง หน้าตาซีดเซียว หรือเบื่ออาหารมาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. กำจัดหนู (ซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ) ทั้งในนาข้าวและในที่อยู่อาศัย

2. รักษาความสะอาดบริเวณบ้านเรือน อย่าให้มีขยะและเศษอาหารตกค้าง อันจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู

3. ถ้ามีบาดแผล รอยถลอก ขีดข่วน ให้ปิดแผลและหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่ท่วมขังหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ หรือลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึง

4. ถ้าต้องเดินย่ำน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (ตามตรอก ซอย คันนา ท้องนา ท้องไร่) ให้ใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ

5. อย่าลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึงนานเกินครั้งละ 2 ชั่วโมง และเมื่อขึ้นจากน้ำควรฟอกสบู่และชำระด้วยน้ำสะอาด

6. เก็บหรือปกปิดอาหารและน้ำดื่มให้มิดชิด อย่าให้หนูปัสสาวะใส่

7. ดื่มน้ำต้มสุก และกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ด้วยความร้อน

8. หมั่นล้างมือภายหลังจับต้องเนื้อ ซากสัตว์ และสัตว์ทุกชนิด

9. ในกรณีที่ต้องเดินทางเข้าไปในแหล่งที่มีโรคนี้ชุกชุมในช่วงเวลาสั้น ๆ (เช่น การตั้งค่ายของกองทหาร นักเรียน นักศึกษา) และไม่สามารถใช้วิธีป้องกันอย่างอื่น ๆ ได้ ควรกินยาดอกซีไซคลีนป้องกันล่วงหน้า ครั้งละ 200 มก. ตั้งแต่ในวันแรกที่เข้าไป ต่อมากินทุกต้นสัปดาห์ และวันหยุดสุดท้ายก่อนกลับ

ข้อแนะนำ

1. อาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว นอกจากนึกถึงสาเหตุจากไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ สครับไทฟัส กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน มาลาเรีย ไข้เลือดออก ถุงน้ำดีอักเสบ และท่อน้ำดีอักเสบแล้ว จะต้องนึกถึงไข้ฉี่หนูหรือโรคเล็ปโตสไปโรซิสไว้ด้วยเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบมีอาการตาแดงหรือดีซ่านร่วมด้วย ในผู้ป่วยที่อยู่ในถิ่นที่มีโรคนี้ชุกชุม

2. โรคนี้ส่วนใหญ่ (กว่าร้อยละ 90) จะมีอาการไม่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีอาการดีซ่านร่วมด้วย จนบางครั้งมักจะวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัส ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการสงสัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัส ควรตรวจโดยการบีบน่องผู้ป่วย ถ้ารู้สึกเจ็บน่องมาก ควรสงสัยว่าอาจเป็นไข้ฉี่หนูหรือเล็ปโตสไปโรซิส ควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด และไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้ภายใน 10-14 วัน

ส่วนรายที่เป็นรุนแรง (พบได้ร้อยละ 10) มักจะมีอาการตาเหลืองจัด บางครั้งทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นตับอักเสบจากไวรัส ข้อแตกต่าง คือ ตับอักเสบจากไวรัสมักจะไม่มีไข้เมื่อมีอาการดีซ่าน ในขณะที่เล็ปโตสไปโรซิสจะมีไข้สูงขณะที่มีอาการดีซ่าน และมักจะมีอาการอื่น ๆ เช่น ไตวาย (ปัสสาวะออกน้อย) เลือดกำเดาไหล หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวร่วมด้วย

หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์


9
หมอประจำบ้าน: เมารถ เมาเรือ (Motion sickness)

อาการเมารถเมาเรือ ในที่นี้หมายรวมถึงเมาเครื่องบิน เมาเครื่องเล่นที่มีการหมุนหรือเคลื่อนไหว ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่า "อาการเมาจากการเคลื่อนไหว (motion sickness)" ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนใหญ่เกิดขึ้นขณะนั่งรถหรือนั่งเรือ จึงขอเรียกว่า "อาการเมารถเมาเรือ"

อาการนี้เป็นภาวะที่ไม่ร้ายแรง และมักจะหายได้เองหลังจากลงจากยานพาหนะหรือเครื่องเล่นสักพัก โดยไม่จำเป็นต้องรักษา ยกเว้นในรายที่อาการรุนแรง หรือพักอยู่นานแล้วยังไม่ทุเลา อาจต้องใช้ยาบรรเทาหรือไปปรึกษาแพทย์

มักพบบ่อยในเด็กอายุ 2-12 ปี พบน้อยลงในวัยผู้ใหญ่ และพบน้อยมากในคนอายุมากกว่า 50 ปี พบว่าผู้หญิงมีโอกาสเกิดอาการนี้มากกว่าผู้ชาย

ผู้ที่มีประวัติว่าพ่อหรือแม่มีอาการเมารถในวัยเด็ก ผู้ที่กำลังมีประจำเดือน ใช้ยาคุมกำเนิด หรือตั้งครรภ์ ผู้ที่มีประวัติเป็นไมเกรน โรคพาร์กินสัน หรือมีความผิดปกติของหูชั้นใน (เช่น โรคเมเนียส์) มีโอกาสเกิดอาการเมารถเมาเรือมากกว่าคนปกติทั่วไป

สาเหตุ

เกิดจากระบบรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยหูชั้นใน ดวงตา กล้ามเนื้อและข้อ ทำงานไม่ประสานกัน ทำให้สมองเกิดความสับสนระหว่างสัญญาณรับรู้การเคลื่อนไหวจากหูชั้นใน สัญญาณการมองเห็นจากดวงตา และสัญญาณรับรู้ตำแหน่งของร่างกายจากกล้ามเนื้อและข้อ (เช่น เวลานั่งรถนั่งเรือ หูชั้นในรับรู้ว่าร่างกายเคลื่อนที่ไปกับรถ ตามองเห็นภาพต้นไม้ที่มีการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อและข้อรับรู้ว่าร่างกายกำลังอยู่นิ่ง ๆ) ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งมักถูกกระตุ้นจากการนั่งยานพาหนะหรือเครื่องเล่นที่โคลงเคลงหรือเหวี่ยงไปมา มักเกิดกับผู้ที่มีประสาทรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายในหูชั้นในมีความไวกว่าปกติ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันขณะนั่งยานพาหนะหรือสิ่งที่เคลื่อนไหว เช่น รถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน เครื่องเล่นผาดโผนในสวนสนุก เป็นต้น หรือเกิดขึ้นเวลาอ่านหนังสือขณะนั่งรถที่กำลังวิ่ง

ส่วนมากจะมีอาการไม่สบายท้อง คลื่นไส้หรือรู้สึกผะอืดผะอม เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หรือมึนศีรษะ อาจมีอาการอื่น ๆ (เช่น เหงื่อออก ตัวเย็น หน้าซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิ มีน้ำลายมาก ง่วงนอน หาว ถอนหายใจ) ร่วมด้วย ในบางรายอาจมีอาการอาเจียนตามมา

หลังจากพาหนะหยุดเคลื่อนไหว (เช่น จอดรถ) หรือลงจากยานพาหนะหรือเครื่องเล่น อาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เองภายในเวลาสั้น ๆ หรือภายใน 2-3 ชั่วโมง และจะหายเป็นปกติดีภายในเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีอาการอาเจียนติดต่อกันนาน อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ หากปล่อยไว้ไม่แก้ไข อาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ในรายที่มีอาการอาเจียนรุนแรง อาจทำให้เยื่อบุหลอดอาหารฉีกขาด (esophageal tear)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วยและสาเหตุกระตุ้นเป็นหลัก และทำการตรวจร่างกาย รวมทั้งตรวจตาและหู โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม ยกเว้นในรายที่สงสัยมีสาเหตุจากโรคอื่น

การรักษาโดยแพทย์

หากอาการเล็กน้อยหรือทุเลาดีแล้ว และไม่สงสัยว่าจะมีสาเหตุจากโรคอื่น ก็จะให้คำแนะนำในการป้องกัน และอาจให้ยาแก้เมารถเมาเรือ (เช่น ยาเม็ดไดเมนไฮดริเนต, แผ่นแปะแก้เมารถเมาเรือที่มีตัวยาสโคโพลามีน) ไว้ใช้ป้องกันในการเดินทางครั้งต่อไป

หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ก็อาจจะให้ยาแก้เมารถเมาเรือ เช่น ไดเมนไฮดริเนต (dimenhydrinate), สโคโพลามีน (scopolamine) ซึ่งมีวิธีใช้และผลข้างเคียงต่างกัน โดยแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วย

ในรายที่ตรวจพบว่ามีสาเหตุจากโรคอื่น เช่น ไมเกรน (Migraine), พาร์กินสัน (Parkinson’s disease), โรคเมเนียส์ (Ménière’s disease/Endolymphatic hydrops), โรคเกี่ยวกับหูชั้นใน เป็นต้น ก็จะให้การดูแลรักษาโรคที่ตรวจพบ

การดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการเมารถเมาเรือเกิดขึ้น ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ขอย้ายมานั่งอยู่แถวหน้าของรถ หรือที่นั่งตรงกลางลำเรือ หรือที่นั่งติดหน้าต่างตรงกับแนวปีกเครื่องบิน
    นั่งศีรษะตรง พิงพนักที่นั่ง ประคองให้ศีรษะอยู่นิ่ง ๆ
    หยุดอ่านหนังสือ ดูโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (เมื่อรู้สึกมีอาการเมา)
    เปิดหน้าต่างหรือช่องระบายอากาศให้ลมเข้า เปิดให้มีลมจากเครื่องปรับอากาศพัดถูกใบหน้าให้รู้สึกสดชื่น
    หลับตาสักพัก เมื่อลืมตาให้มองตรงไปด้านหน้าไกล ๆ อย่ามองผ่านหน้าต่างด้านข้าง
    หายใจเข้าออกลึก ๆ และตามดูลมหายใจแบบทำสมาธิ
    ดมยาดม จิบน้ำขิง อมลูกอมรสขิง หรือเคี้ยวขิงแห้งหรือขิงสด (ถ้ามี)
    ถ้าไม่ทุเลา ควรจอดรถลงมาแวะนั่งพักในที่อากาศดี หรือนอนลงบนเรือโดยสารที่มีที่พอ โดยหันศีรษะไปทางหัวเรือ
    ถ้ากำลังเล่นเครื่องเล่น ขอหยุดเล่นเครื่องเล่น ลงมานั่งพักในที่อากาศดี
    ถ้ายังไม่ทุเลา หรือมีอาการคลื่นไส้มากหรืออาเจียน กินยาแก้เมารถ (เช่น ไดเมนไฮดริเนต, สโคโพลามีน) ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลตนเอง และลงจากยานพาหนะหรือเครื่องเล่นแล้วยังไม่ทุเลา หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
    ดื่มน้ำไม่ได้หรือได้น้อย จนมีภาวะขาดน้ำ (ปากคอแห้ง ปัสสาวะออกน้อย อ่อนเพลีย ใจสั่น)
    สงสัยว่ามีสาเหตุเกิดจากโรค เช่น ไมเกรน (Migraine), พาร์กินสัน (Parkinson’s disease), โรคเมเนียส์ (Ménière’s disease/Endolymphatic hydrops) หรือโรคของหูชั้นใน
    มีอาการนานเกิน 24 ชั่วโมง หรือเป็นถี่ขึ้นหรือแรงขึ้นกว่าเดิม

การป้องกัน

ผู้ที่เคยมีอาการเมารถเมาเรือ มีโอกาสกำเริบได้บ่อย ควรหาทางป้องกันดังนี้

    เวลานั่งรถยนต์ ควรเป็นผู้ขับเอง ถ้าเป็นผู้โดยสาร ควรเลือกที่นั่งแถวหน้า สายตามองไปข้างหน้าไกล ๆ หลีกเลี่ยงการมองผ่านหน้าต่างด้านข้าง เห็นภาพต้นไม้ รถรา หรือภาพวิวข้างทางซึ่งเคลื่อนตัวเร็ว ทำให้เมาง่าย

- หลีกเลี่ยงการนั่งอยู่แถวหลัง หรือนั่งหันหน้าไปข้างหลัง

- ควรเปิดหน้าต่างรถหรือช่องระบายอากาศเป็นครั้งคราว เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก พัดเอาลมข้างนอกเข้ามาทำให้รู้สึกสดชื่น

- ควรตั้งศีรษะตรง พิงพนักที่นั่ง ประคองให้ศีรษะอยู่นิ่ง ๆ และไม่ควรฟุบหน้าหรือเอนศีรษะ อาจทำให้เมารถง่าย

- ควรหยุดรถแวะพัก เปลี่ยนอิริยาบถและสูดอากาศสดชื่นเป็นพัก ๆ

    เวลานั่งรถไฟ เลือกที่นั่งแถวหน้า ติดหน้าต่าง และหันหน้าไปข้างหน้า อย่านั่งหันกลับหลัง
    เวลานั่งเรือ ควรนั่งตรงกลางลำ หรือด้านหน้าของดาดฟ้าชั้นบน และมองไปไกล ๆ ดูเส้นสุดขอบฟ้า หลีกเลี่ยงการมองดูคลื่นน้ำเคลื่อนไหวที่อยู่ใกล้
    เวลานั่งเครื่องบิน ควรเลือกที่นั่งติดหน้าต่าง ตรงกับแนวปีกเครื่องบิน และเปิดให้มีลมจากเครื่องปรับอากาศพัดถูกใบหน้า
    หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือ ดูโทรศัพท์มือถือ หรือใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างเดินทาง
    ก่อนออกเดินทางควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรกินอาหารแต่พออิ่ม (อย่าอิ่มเกิน) เว้นห่างจากเวลาออกเดินทางอย่างน้อย 30 นาที โดยหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมัน ๆ และของทอด
    งดชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ก่อนและขณะเดินทาง ควรจิบน้ำเป็นพัก ๆ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
    ควรสวมแว่นกันแดดระหว่างเดินทาง
    กินยาป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เช่น ไดเมนไฮดริเนต ก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 30 นาที-1 ชั่วโมง หรือใช้แผ่นแปะแก้เมารถเมาเรือที่มีตัวยาสโคโพลามีนก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

ข้อแนะนำ

1. อาการเมารถเมาเรือส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองภายในไม่นาน โดยไม่ต้องใช้ยารักษา ส่วนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ใหญ่ที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นบ่อย อาจเกิดจากโรคอื่น เช่น ไมเกรน (Migraine), พาร์กินสัน (Parkinson’s disease), โรคเมเนียส์ (Ménière’s disease/Endolymphatic hydrops) หรือโรคของหูชั้นใน หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์

2. เด็กที่มีอาการเมารถเมาเรือบ่อย และมีพ่อหรือแม่เป็นไมเกรน อาจเป็นอาการของไมเกรนโดยไม่มีอาการปวดศีรษะ เมื่ออายุมากขึ้นมักจะมีอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนตามมาได้

3. ในการป้องกันไม่ให้เมารถเมาเรือ ควรเน้นการปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง จะได้ไม่ต้องใช้ยาแก้เมารถเมาเรือ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียง เช่น ไดเมนไฮดริเนต อาจทำให้ง่วงนอน ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่ามัว ใจสั่น ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก เป็นต้น ส่วนสโคโพลามีน นอกจากมีอาการคล้ายไดเมนไฮดริเนต (แต่จะง่วงน้อยกว่า) แล้ว ยังไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี และห้ามใช้ในผู้ที่เป็นต้อหิน หรือต่อมลูกหมากโต

10
ที่เที่ยวไทย สุดยอด 10 น้ำตกสวย ที่สุดในไทย ต้องไปเที่ยวหน้าฝน

หน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่น้ำตกสวยงามที่สุด เพราะน้ำจะไหลแรงและป่าไม้รอบข้างจะเขียวขจีเป็นพิเศษ นี่คือ 10 สุดยอดน้ำตกสวยในไทยที่น่าไปเยือนในช่วงหน้าฝน เพื่อสัมผัสความสดชื่นและชื่นใจอย่างเต็มที่ค่ะ


น้ำตกทีลอซู (จังหวัดตาก)

ได้รับการยกย่องว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทยและติดอันดับโลก เกิดจากลำห้วยกล้อทอที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงกว่า 300 เมตร กว้างประมาณ 500 เมตร ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ท่ามกลางป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์


น้ำตกแม่ยะ (จังหวัดเชียงใหม่)

น้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ สายน้ำไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ คล้ายม่านน้ำกว้างใหญ่ สวยงามมากในช่วงหน้าฝน


น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (จังหวัดกาญจนบุรี)

น้ำตกหินปูน 7 ชั้น ที่สวยงามไม่แพ้เอราวัณ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ แต่ละชั้นมีชื่อเรียกเฉพาะตัว น้ำใสสีเขียวมรกต เหมาะแก่การเล่นน้ำและพักผ่อน


น้ำตกเอราวัณ (จังหวัดกาญจนบุรี)

น้ำตกหินปูน 7 ชั้น ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง น้ำใสสีฟ้าอมเขียวมรกตตลอดทั้งปี สามารถเดินขึ้นไปชมความงามแต่ละชั้นได้ มีปลาพลวงแหวกว่ายให้เห็น


น้ำตกคลองลาน (จังหวัดกำแพงเพชร)

น้ำตกขนาดใหญ่ที่เกิดจากลำน้ำคลองลาน ไหลลงมาจากหน้าผาสูงกว่า 100 เมตร กว้างประมาณ 40 เมตร สวยงามอลังการมากในช่วงหน้าฝน


น้ำตกพลิ้ว (จังหวัดจันทบุรี)

น้ำตกสวยงามในอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี และมีปลาพลวงหินจำนวนมากแหวกว่ายอยู่ สามารถลงเล่นน้ำและให้อาหารปลาได้


น้ำตกสะปัน (จังหวัดน่าน)

น้ำตกเล็กๆ ที่สวยงามและเงียบสงบ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสะปัน อำเภอบ่อเกลือ ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์และนาข้าวเขียวขจี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบ


น้ำตกกรุงชิง (จังหวัดนครศรีธรรมราช)

น้ำตกขนาดใหญ่ 7 ชั้น ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นน้ำตกที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามมาก โดยเฉพาะชั้นที่ 2 ที่เรียกว่า "หนานฝนแสนห่า" ซึ่งน้ำจะแผ่เป็นม่านกว้าง


น้ำตกถ้ำพระ (จังหวัดบึงกาฬ)

น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาหินปูนขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายถ้ำพระ และมีแอ่งน้ำสีมรกตเบื้องล่าง สามารถนั่งเรือล่องชมความงามของธรรมชาติได้


น้ำตกห้วยหลวง (จังหวัดอุบลราชธานี)

น้ำตกขนาดใหญ่ในอุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย สายน้ำไหลลงจากหน้าผาสูงกว่า 45 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่เบื้องล่างที่มีหาดทรายขาวอยู่ริมน้ำ สวยงามและน่าประทับใจ

การเดินทางไปเที่ยวน้ำตกในช่วงหน้าฝน ควรตรวจสอบสภาพอากาศและเส้นทางก่อนออกเดินทาง เพื่อความปลอดภัยและประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดค่ะ

11
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


13
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


14
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


15
ปล่อยรถราคาพิเศษ TOYOTA YARIS CROSS 1.5 HEV PREMIUM ปี 2025

โตโยต้า Toyota Yaris Cross HEV Premium
TOYOTA YARIS CROSS HEV PREMIUM ยนตรกรรม SUV ไฮบริดใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานการใช้งานแบบ “URBAN x ADVENTURE” ตอบสนองการขับขี่ในเมืองที่คล่องแคล่ว สนุกสนาน และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ความปลอดภัยระดับ Top Class ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด 2NR-VEX ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน เกียร์อัตโนมัติ e-CVT ให้อัตราเร่งดี ห้องโดยสารเงียบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อัตราการปล่อย CO2 ต่ำประหยัดน้ำมันที่สุดในคลาสถึง 26.3 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker)

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 9 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.29% ตลอดอายุสัญญา

ราคาพิเศษ 779,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์             2NR-VEX, 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i  92 แรงม้า / 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 121 นิวตันเมตร / 4,000-4,800 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลัง 80 แรงม้า และแรงบิด 141 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ Li-ion 177.6 โวลต์ ที่มีความจุ 4.3 แอมแปร์-ชั่วโมง เมื่อรวมกำลังทั้งหมดรถคันนี้จะให้ถึง 111 แรงม้า

ขนาดเครื่องยนต์ (CC)           1,496 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)        91 แรงม้า
ระบบเกียร์                          เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                       E-CVT
ระบบเบรค ABS                   มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง          เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91,เบนซิน E20
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)          36 ลิตร
ระบบจ่ายน้ำมัน                   หัวฉีดอิเล็กทรอนิดส์ EFi
น้ำหนักตัวรถ                           -
ประเภทยางรถยนต์                    -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                 ล้ออัลลอย (17 นิ้ว แบบปัดเงาสีทูโทน)
ระบบขับเคลื่อน                ขับเคลื่อนล้อหน้า


หน้า: [1] 2 3 ... 10