กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10
81
อยากต่อเติมบ้านต้องรู้! รวมกฎหมาย-ข้อควรระวังที่เจ้าของบ้านห้ามมองข้าม
สำหรับใครที่มีบ้านแล้วอยากขยับขยาย ไม่ว่าจะต่อเติมครัวไทยเพิ่มหลังบ้าน สร้างห้องทำงานเพิ่มชั้นลอย หรือทำกันสาดจอดรถหน้าบ้าน สิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้คือ การต่อเติมบ้านนั้นมีรายละเอียดด้านกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากทำผิดหรือไม่ขออนุญาตให้ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจส่งผลกระทบทั้งทางกฎหมาย ความปลอดภัย และการขายบ้านในอนาคต


โดยเฉพาะในยุคที่หลายคนหันมาซื้อบ้านในทำเลใหม่ ๆ ที่น่าอยู่ เช่นกลุ่ม โครงการบ้านจัดสรรเชียงใหม่หรือบ้านในย่าน โครงการบ้านหางดงเชียงใหม่ที่มีการออกแบบพื้นที่ใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน หากคิดจะต่อเติมใด ๆ เพิ่มเติมจากแบบมาตรฐานเดิม ก็ยิ่งต้องใส่ใจเรื่องกฎหมายให้มาก เพราะการดัดแปลงบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้โครงการไม่ออกใบรับรองบ้านให้ หรือเกิดปัญหากับเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ในภายหลัง
บทความนี้จะพาไปดูว่า… “การต่อเติมบ้าน” ที่ถูกต้องต้องดูเรื่องใดบ้าง? กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องมีอะไร? และมีข้อควรระวังใดที่เจ้าของบ้านยุคใหม่ต้องรู้ไว้ก่อนจะลงมือปรับเปลี่ยนบ้านที่รักให้ตรงใจมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่อยากพลาด… ต้องอ่านให้จบ!

สิ่งที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนต่อเติม: กฎหมายและข้อควรระวังที่ห้ามมองข้าม
1. การต่อเติมบ้านต้องได้รับอนุญาตจากเขตหรือเทศบาลก่อน
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ “บ้านของเรา อยากต่อเติมอะไรก็ได้” แต่ในความเป็นจริง การต่อเติมที่ส่งผลต่อโครงสร้าง เช่น ขยายห้อง ต่อเติมครัว หรือสร้างชั้นลอยใหม่ จำเป็นต้องยื่นแบบแปลนและขออนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่นก่อนทุกครั้ง แม้จะเป็นการต่อเติมในบ้านส่วนตัวก็ตาม เพราะหากฝ่าฝืน อาจถูกสั่งรื้อถอนหรือโดนค่าปรับตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารโดยเฉพาะบ้านในหมู่บ้านจัดสรรหรือโครงการที่มีข้อบังคับร่วม เช่น บ้านจัดสรรเชียงใหม่หลายแห่งจะมีกฎชัดเจนว่าต้องส่งแปลนให้โครงการตรวจสอบก่อนยื่นขออนุญาตกับเขต เพื่อป้องกันผลกระทบต่อบ้านข้างเคียงและภาพรวมของโครงการ

2. ต้องเว้น “ระยะร่น” ตามกฎหมายอาคาร
การต่อเติมบ้านไม่สามารถทำชิดรั้วหรือแนวเขตบ้านได้ตามใจ เพราะกฎหมายกำหนด “ระยะร่น” เอาไว้ เช่น การต่อเติมผนังหรืออาคารสูงเกิน 9 เมตรต้องห่างจากรั้วอย่างน้อย 2 เมตร หรือการทำครัวหลังบ้านต้องห่างจากรั้วอย่างน้อย 50 เซนติเมตร
สำหรับบ้านในโครงการใหม่ ๆ อย่าง โครงการบ้านเชียงใหม่ 2568ที่มักออกแบบบ้านให้ชิดแนวรั้วทั้งสองด้าน เจ้าของบ้านต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการต่อเติมผิดระยะอาจส่งผลถึงโครงสร้างหลัก หรืออาจสร้างความรำคาญให้บ้านข้าง ๆ ได้ในภายหลัง

3. ต่อเติมผิดแบบอาจหมดสิทธิ์ขอเลขที่บ้านหรือโฉนดแปลงย่อย
หากคุณวางแผนต่อเติมบ้านเพื่อขายต่อในอนาคต หรือจะแบ่งแปลงที่ดินเพิ่ม สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือ หากต่อเติมผิดแบบโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่ได้รับการอนุมัติจากเขต คุณอาจประสบปัญหาในการขอเลขที่บ้าน หรือจดทะเบียนทรัพย์สินกับกรมที่ดินไม่ได้กรณีนี้เกิดขึ้นจริงในหลายโครงการที่ลูกค้าซื้อบ้านแล้วต่อเติมโดยไม่แจ้งเขต จนทำให้ไม่สามารถขอเอกสารสิทธิ์ใหม่ หรือขายต่อในนามทรัพย์สินถูกต้องได้ โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อบังคับเข้มงวด เช่น บ้านวิวเขาเชียงใหม่ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาหรือใกล้แหล่งธรรมชาติ การต่อเติมอาจต้องได้รับอนุญาตเป็นพิเศษเพื่อไม่กระทบต่อสภาพแวดล้อม

4. บ้านเดี่ยว 2 ชั้นต่อเติมเพิ่มได้ แต่ต้องระวังโครงสร้างหลัก
สำหรับผู้ที่ซื้อ บ้านเดี่ยว 2 ชั้นเชียงใหม่แล้วอยากต่อเติมเพิ่ม เช่น ต่อเติมห้องใต้บันได กั้นห้องด้านบน หรือเพิ่มดาดฟ้า ต้องให้วิศวกรตรวจสอบโครงสร้างเดิมก่อนทุกครั้ง เพราะบ้านสำเร็จรูปส่วนใหญ่ออกแบบรับน้ำหนักในระดับที่จำกัด หากต่อเติมผิดจุดหรือวัสดุที่ใช้หนักเกินไป อาจทำให้เกิดการทรุดตัวในระยะยาว หรือเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหลายโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่บนพื้นที่ลาดเอียง หรืออยู่บนดินถม เช่น ในโซนเชียงใหม่ตอนใต้ ต้องอาศัยการวางฐานรากที่แม่นยำ หากเจ้าของบ้านไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนต่อเติม อาจเจอปัญหาผนังร้าวหรือดินทรุดได้ในอนาคต

5. หากอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ต้องดูข้อกำหนดของนิติบุคคล
นอกจากกฎหมายอาคารทั่วไปแล้ว การต่อเติมในหมู่บ้านยังต้องคำนึงถึง “ข้อบังคับหมู่บ้าน” ที่นิติบุคคลกำหนดไว้ เช่น ห้ามต่อเติมหันหน้าครัวไปทางถนน ห้ามสร้างรั้วทึบเกินความสูงที่กำหนด หรือห้ามใช้วัสดุที่ทำให้โครงการเสียภาพลักษณ์บ้านในกลุ่ม บ้านจัดสรรเชียงใหม่จำนวนมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นความเรียบร้อยของโครงการ จึงมีแนวทางควบคุมเรื่องสีบ้าน วัสดุก่อสร้าง หรือแม้กระทั่งรูปแบบกันสาดที่ใช้ หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกนิติบุคคลแจ้งเตือนหรือสั่งให้รื้อถอนได้

แนวทางการเตรียมตัวก่อนต่อเติมบ้าน
เพื่อให้การต่อเติมบ้านเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัยในระยะยาว เจ้าของบ้านควรเตรียมตัวดังนี้:

1. ตรวจสอบข้อบังคับโครงการและนิติบุคคล (ถ้ามี)
หากบ้านของคุณตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรหรือโครงการจัดสรรอย่าง ควรติดต่อสอบถามนิติบุคคล หรือผู้ดูแลโครงการก่อนว่าสามารถต่อเติมได้หรือไม่ และมีเงื่อนไขใดต้องปฏิบัติตามบ้าง เช่น รูปแบบโครงสร้าง สี หรือวัสดุที่ใช้

2. ปรึกษาวิศวกรหรือสถาปนิก
การต่อเติมที่มีผลต่อโครงสร้าง เช่น ต่อเติมครัว ทุบผนัง ก่อสร้างห้องเพิ่ม จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและออกแบบใหม่ให้เหมาะสมกับโครงสร้างเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

3. เตรียมเอกสารและขออนุญาตจากเขต/เทศบาล
หากการต่อเติมมีผลต่อโครงสร้างอาคาร จำเป็นต้องยื่นแบบแปลนพร้อมคำขออนุญาตต่อเติมกับหน่วยงานราชการในพื้นที่ ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 30 วัน ควรเผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้กระทบกับแผนการก่อสร้าง

4. ตรวจสอบสภาพที่ดินและโครงสร้างเดิม
ในบางพื้นที่ อาจมีข้อจำกัดเรื่องฐานรากหรือการระบายน้ำ ดังนั้นก่อนเริ่มงานต่อเติม ควรให้ผู้รับเหมาสำรวจพื้นที่อย่างละเอียด และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น น้ำท่วมขัง การทรุดตัว หรือปัญหาผนังแตกร้าว

5. ตั้งงบประมาณเผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
นอกจากค่าก่อสร้างแล้ว อย่าลืมเตรียมงบสำรองสำหรับค่าควบคุมงาน ค่าออกแบบ ค่าใบอนุญาต และค่าแก้ไขกรณีที่ต้องปรับปรุงตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้อย่างราบรื่น
ห้องนอนไม่ได้เป็นแค่พื้นที่สำหรับพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่สะท้อนตัวตน ไลฟ์สไตล์ และอารมณ์ของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง การตกแต่งห้องนอนให้น่าอยู่จึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพกายและใจในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์มินิมอล โบฮีเมียน ญี่ปุ่น หรือหรูหราแบบโมเดิร์น ลองเลือกไอเดียที่เข้ากับชีวิตจริงของคุณ แล้วนำไปปรับใช้กับพื้นที่ที่มีอยู่จำไว้ว่าห้องนอนที่ดี...ไม่จำเป็นต้องแพง แต่อยู่แล้วต้อง “รู้สึกดี” ทุกครั้งที่ได้พักผ่อนในนั้น

รู้กฎหมายไว้ปลอดภัยทุกการต่อเติม
การต่อเติมบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก การรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน จะช่วยให้คุณสามารถต่อเติมบ้านได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องกลัวการถูกรื้อถอนหรือเสียค่าปรับในภายหลัง เพราะบ้านคือพื้นที่ที่เราต้องอยู่อาศัยไปอีกยาวนาน การต่อเติมอย่างมีแบบแผนจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งในแง่ของความปลอดภัย การใช้งาน และมูลค่าทรัพย์สินในอนาคต ไม่ว่าคุณจะอยู่โครงการใดก็ตาม หากคุณรู้และเข้าใจในสิ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ การต่อเติมบ้านก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก

82

care helper by ชิงชิง บริการดีไหม

จากข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของ CareHelper by ชิงชิง สามารถสรุปเกี่ยวกับบริการได้ดังนี้:

เน้นการดูแลและอำนวยความสะดวก: บริการนี้มุ่งเน้นไปที่การเป็นเพื่อนและผู้ช่วยในการไปโรงพยาบาล ช่วยดูแลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การนัดหมาย การเดินทาง การดำเนินการเอกสาร ไปจนถึงการดูแลระหว่างพบแพทย์

ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการคนดูแลเป็นพิเศษ: เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ที่ไม่มีญาติสะดวก หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษในการไปโรงพยาบาล

มีความน่าเชื่อถือ: มีการกล่าวถึงประสบการณ์การให้บริการลูกค้ามาแล้วหลายเคส
ดังนั้น โดยรวมแล้ว ดูเหมือนว่า CareHelper by ชิงชิงเป็นบริการที่มีประโยชน์และอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการผู้ช่วยดูแลในการไปโรงพยาบาลค่ะ


CareHelper by ชิงชิง มีช่องทาง Social Media หลัก ๆ ดังนี้ค่ะ:

Facebook Page: ชื่อเพจ "บริการเป็นเพื่อนหาหมอ @CareHelperbyChingChing"
TikTok: ชื่อบัญชี "@carehelperbychingching" ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมากถึง 9,678 คน และมียอดถูกใจกว่า 28.2K
YouTube: ช่องชื่อ "Care Helper By Ching Ching" มีผู้ติดตาม 626 คน

ดังนั้น ใช่ค่ะ ดูเหมือนว่า CareHelper by ชิงชิง จะมีชื่อเสียงและมีการใช้งานแพลตฟอร์ม TikTok อย่างมาก ในการสื่อสารและนำเสนอบริการค่ะ



ชิงชิง ผู้สร้างความเชื่อใจให้
"คุณลูกที่รัก❤️คุณลูกค้าที่เคารพ" หมดห่วง
ณ วันนัดหมายกว่า 1080 เคส❤️


บริการเป็นเพื่อนหาหมอ CareHelper by ชิงชิง
มากกว่าเพื่อนหาหมอ เราคือผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
เชื่อใจ มั่นใจ ให้เราดูแล
โทรเลย 084-642-4599
88


คำถามพบบ่อย แต่ละplatform เหมาะกับ Content ประเภทไหน?

1. Facebook:
เหมาะกับ: เนื้อหาที่หลากหลาย เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ไลฟ์สด บทความ ข่าวสาร กลุ่มชุมชน การจัดกิจกรรม เหมาะสำหรับการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
ลักษณะเด่น: มีเครื่องมือสำหรับสร้างกลุ่มและกิจกรรมได้ดี เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายวัย


2. Instagram:
เหมาะกับ: เนื้อหาที่เป็นภาพและวิดีโอสวยงาม เน้นด้านศิลปะ แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยว อาหาร เหมาะสำหรับสร้างแรงบันดาลใจและภาพลักษณ์ของแบรนด์
ลักษณะเด่น: เน้นการสื่อสารด้วยภาพ มีฟีเจอร์ Stories และ Reels ที่ได้รับความนิยม


3. Twitter (X):
เหมาะกับ: ข้อความสั้นๆ ข่าวสาร อัปเดตแบบเรียลไทม์ ความคิดเห็น การสนทนา เหมาะสำหรับการติดตามข่าวสารและมีส่วนร่วมในประเด็นต่างๆ
ลักษณะเด่น: ความรวดเร็วในการสื่อสาร ใช้ Hashtag ในการจัดกลุ่มหัวข้อ


4. YouTube:
เหมาะกับ: วิดีโอทุกรูปแบบ เช่น การสอน รีวิว บล็อก สารคดี มิวสิควิดีโอ เหมาะสำหรับการนำเสนอเนื้อหาที่ยาวและละเอียด
ลักษณะเด่น: เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่ใหญ่ที่สุด มีเครื่องมือสำหรับสร้างรายได้


5. TikTok:
เหมาะกับ: วิดีโอสั้นๆ เน้นความสนุกสนาน สร้างสรรค์ ท้าทาย เหมาะสำหรับเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
ลักษณะเด่น: รูปแบบวิดีโอสั้น แนวตั้ง ใช้งานง่าย มีเพลงและเอฟเฟกต์หลากหลาย


6. LinkedIn:
เหมาะกับ: เนื้อหาเชิงธุรกิจ การพัฒนาอาชีพ ข่าวสารในอุตสาหกรรม การสร้างเครือข่ายมืออาชีพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือในสายงาน
ลักษณะเด่น: เน้นการเชื่อมต่อระหว่างผู้คนในแวดวงธุรกิจ


7. Pinterest:
เหมาะกับ: รูปภาพและไอเดียต่างๆ เช่น การตกแต่งบ้าน แฟชั่น สูตรอาหาร งานฝีมือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาแรงบันดาลใจและเก็บไอเดีย
ลักษณะเด่น: เน้นการค้นหาและบันทึกรูปภาพเป็นหมวดหมู่


8.Website
เหมาะกับ: การนำเสนอเนื้อหาที่ต้องการความละเอียด การจัดระเบียบ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และการมีพื้นที่ควบคุมเป็นของตัวเอง

สรุป:
ถ้าเน้น ภาพสวยงามและไลฟ์สไตล์ → Instagram, Pinterest
ถ้าเน้น วิดีโอ → YouTube, TikTok
ถ้าเน้น ข้อความสั้นและข่าวสาร → Twitter (X)
ถ้าเน้น ความหลากหลายและการสร้างชุมชน → Facebook
ถ้าเน้น ธุรกิจและอาชีพ → LinkedIn
ถ้าเน้น ความเป็นเจ้าของ → Website

หลักๆที่เราต้องคิดถึงเวลาจะเลือกว่าจะไปลงคอนเทนต์ที่ไหนดี ก็คือ
คนที่เราอยากให้เห็นน่ะ เค้าเล่นอะไรกันอยู่: ถ้ากลุ่มเป้าหมายเราชอบเล่น TikTok เราก็ไป TikTok เนาะ
คอนเทนต์เราเป็นแบบไหน: ถ้าทำวิดีโอสั้นสนุกๆ TikTok ก็เวิร์ค แต่ถ้าเป็นรูปสวยๆ ก็อาจจะ Instagram
เราอยากได้อะไรจากการทำคอนเทนต์: อยากให้คนรู้จักมากขึ้น อยากขายของ หรืออยากสร้างกลุ่มคน ก็ต้องดูว่าแพลตฟอร์มไหนช่วยเราได้
เรามีงบประมาณเท่าไหร่: แต่ละที่ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายไม่เหมือนกัน ก็ต้องเลือกที่มันโอเคกับเงินในกระเป๋าเรา ;D"


ให้บริการแยกตามประเภทธุรกิจ ตรงความต้องการของลูกค้าค่ะ

ติดต่อ : ชิงชิง 084-642-4599
LinE id: chingching0846424599

Email : oho.rubpost@gmail.com
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10